เมื่อการนับ หน้า 7 หลัง 7 เชื่อถือไม่ได้อีกต่อไป!

หน้า 7 หลัง 7 หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ระยะปลอดภัย” ที่หลาย ๆ คนมักจะใช้วิธีนี้ในการคุมกำเนิด แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าวิธีนี้ได้ผลจริงเพราะประจำเดือนของบางคนนั้นมาคลาดเคลื่อนกันทุกเดือน ? วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจกับการนับหน้า 7 หลัง 7 ว่าสามารถทำได้จริงหรือไม่

ทำไมหลาย ๆ คน เลือกใช้การนับ หน้า 7 หลัง 7 เพื่อกุมกำเนิด ?

ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร หน้า 7 คือช่วงเวลา 7 วันก่อนที่ประจำเดือนจะมา และหลัง 7 คือช่วงเวลา 7 วันหลังที่หมดประจำเดือน เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นขอยกตัวอย่างการนับวันแบบคร่าว ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจ

ตัวอย่างการนับหน้า 7 หลัง 7

หากทราบว่าประจำเดือนในรอบนี้จะมาวันที่ 10 , 11 และ 12

หน้า 7 คือ วันที่ 3 – 9

หลัง 7 คือ วันที่ 13 – 19

ระยะปลอดภัยในการคุมกำเนิดคือวันที่ 3 – 19 นั่นเอง

การนับแบบนี้ถือว่าเป็นการคุมกำเนิดแบบธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ในการคุมกำเนิด ถือว่าเป็นวิธีที่ส่งผลกระทบกับร่างกายน้อยที่สุดเพราะในช่วงหน้า 7 หลัง 7 นี้ ร่างกายจะอยู่ในภาวะที่ไม่พร้อมเจริญพันธุ์ถือว่าเป็นระยะปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์

ผู้ที่ไม่เหมาะกับการคุมกำเนิดด้วยการนับหน้า 7 หลัง 7

  • มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่นโรคเริม โรค HIV หรือโรคติดต่อบริเวณอุ้งเชิงกราน ควรได้รับการรักษาให้หายดีจึงจะเลือกวิธีการคุมกำเนิดแบบธรรมชาติได้
  • ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับการเจริญพันธ์ เช่น มะเร็งปากมดลูก ช่องคลอดอักเสบ หรือ โรคตับ เป็นต้น
  • ประดำเดือนมาไม่ปกติ เนื่องจากการคุมกำเนิดแบบนี้จำเป็นต้องคาดคะเนล่วงหน้าเกี่ยวกับวันตกไข่ หากประจำเดือนมาไม่ปกติจะทำให้คาดคาดคะเนผิดพลาดได้ง่าย ส่งผลให้การคุมกำเนิดแบบนี้มีความเสี่ยงกับสาว ๆ มาก

การนับหน้า 7 หลัง 7 ถือเป็นการคุมกำเนิดที่ปลอดภัยหรือไม่ ?

หากเทียบการคุมกำเนิดในรูปแบบปัจจุบันเช่น การฝังเข็ม การกินยาคุม หรือการใช้ถุงยาง การนับหน้า 7 หลัง 7 ถือว่าเป็นการคุมกำเนิดที่มีความปลอดภัยต่ำที่สุด เพราะเป็นการอ้างอิงมาจากการนับวันในช่วงของการตกไข่เท่านั้น หากเกิดความผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนก็จะทำให้เกิดการท้องที่ไม่พึงประสงค์ได้

วิธีการคุมกับเนิดรูปแบบอื่น ๆ ที่ “เวิร์ค” กว่ากันนับหน้า 7 หลัง 7

  • การใช้ถุงยางอนามัย ถือเป็นรูปแบบการคุมกำเนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะสามารถทำได้ง่ายเพียงสวมยุงยางในบริเวณอวัยวะเพศชายเท่านั้น สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อมได้เกือบ 100% ที่สำคัญยังมีการพัฒนารูปแบบขแงถุงยางให้มีความหลากหลายเพื่อความสุขทางเพศ หาซื้อได้ง่าย มีราคาเพียงหลักสิบเท่านั้น
  • การกินยาคุม มีให้เลือกทั้งแบบรายเดือนและยาคุมฉุกเฉิน มีอันตราการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์เกือบ 100% เช่นเดียวกัน แต่จะมีผลข้างเคียงจากการทานยาคุม เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ น้ำหนักขึ้น หรือในบางรายจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เป็นต้น
  • การฝังเข็ม เป็นการคุมกำเนิดที่กำลังได้รับการรณรงค์อยู่ในปัจจุบัน แพทย์จะทำการฝังยาคุมไว้บริเวณใต้แขน มีความปลอดภัยสูงแต่มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เช่น ใบหน้าหมองคล้ำ น้ำหนักลด หรือ ประจำเดือนมาไม่ปกติ เป็นต้น
  • การทำหมัน ถือเป็นการคุมกำเนิดที่มีความปลอดภัยสูงสุดและสามารถคุมกำเนิดได้อย่างถาวร เพราะแพทย์จะทำการตัดเอามดลูกและไข่ซึ่งเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่สืบพันธ์ออก เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการมีบุตร การเลือกคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้อาจจะมีผลข้างเคียงเช่น ฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวนส่งผลให้ควบคุมอารมณ์ยาก ร่างกายแก่ไว หรือจะเรียกว่าเข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติ สามารถบำรุงร่างกายได้ด้วยการทานอาหารเสริมต่าง ๆ

การคุมกำเนิดแบบนับหน้า 7 หลัง 7 ถือเป็นการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติที่มีมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งมักจะได้ผลดีกับคนที่ประจำเดือนมาปกติทุกเดือน แต่ในปัจจุบันมีคนจำนวนน้อยมากที่ประจำเดือนจะมาในวันเดียวกันทุกเดือนด้วยสภาวะหลายอย่าง เช่น ความเครียด หรือ พฤติกรรมการใช้ชีวิต หากเลือกใช้วิธีการคุมกำเนิดด้วยระยะปลอดภัยอาจจะกลายเป็น “ระยะไม่ปลอดภัย” ขึ้นมาแทน เราอยากแนะนำให้ทุกคนเลือกการคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้เป็นวิธีท้าย ๆ เมื่อพร้อมที่จะรับความเสี่งที่ตามมาได้